Chapter9. ท่าทางคุกคาม
เสียงหวังหมิ่นตะโกนเรียกทำให้บุรุษในชุดดำชะงักไป เขาปล่อยมือจากลกคอของนางแล้วกระโดดหายไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งกับพื้น นางหอบหายใจแรงจนต้องยกมือขึ้นกุมอก
“คุณหนู!” หวังหมิ่นตะโกนแล้วรีบวิ่งเข้ามาหาเขาประคองหญิงสาวให้ลุกขึ้นยืน “คุณหนูมาทำอะไรที่นี่เจ้าคะ”
“เมื่อครู่...” หลินอวี้เจินพูดตะกุกตะกักแต่พอเหลียวมองรอบข้างก็ไม่เห็นชายในชุดดำคนนั้นแล้ว
“คุณหนูหลงทางหรือเจ้าคะ” หวังหมิ่นโอบหญิงสาวมากอดและปลอบโยน
หลินอวี้เจิงพยายามจะอธิบายแต่นางรู้สึกหวาดกลัวหนักขึ้น
“ตัวสั่นเชียว...คุณหนูคงเสียขวัญมากเลย รีบกลับบ้านเถิดเจ้าค่ะ”
หวังหมิ่นประคองหญิงสามออกมาจากตรอกเล็กๆ นั่น แต่หลินอวี้เจินอดเหลียวมองไปอีกครั้งไม่ได้ แววตาเมื่อครู่เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เรื่องนี้ต้องไม่ใช่ความบังเอิญเป็นแน่ราวกับว่ามีความแค้นที่ยากจะให้อภัย
แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ? เรื่องอะไรกัน!
ในที่สุดหลินเหิงอี้ก็ล้มป่วยจริงๆ
หลินเหิงอี้เป็นคนแข็งแรงแทบไม่เคยล้มป่วยเลย แต่คราวนี้ถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ โชคดีที่พ่อบ้านหานตงกลับมาจากไปฝั่งศพมารดาและยังมีหลินอวี้เจินที่คอยดูแลกิจการแทนหลินเหิงอี้ชั่วคราว
“ไม่ได้พบคุณหนูนานแล้ว สบายดีหรือขอรับ” พ่อบ้านหานตงทักทาย เขาเคยพบหญิงสาวหลายครั้ง ด้วยบางคราวหลินเหิงอี้ใช้ให้เขาไปทำธุระที่จู้หยาง
“ข้าสบายดี” นางส่งยิ้มเล็กน้อย
“โชคดีที่มีคุณหนูอยู่ดูแลงานต่างๆ แทนนายท่าน” แม้เคยพบกันไม่บ่อยครั้ง แต่เคยอธิบายเรื่องการค้าขายกับนาง หญิงสาวเป็นคนหัวไว อธิบายเพียงครั้งเดียวก็เข้าใจ และแม้บิดาจะเป็นอาจารย์สั่งสอนศิษย์ในสำนักศึกษาของตนเอง แต่สำหรับหลินอวี้เจินนั้นมีชอบการค้าขาย นายเคยแต่งกายเป็นชายมายืนเคียงข้างหลินเหิงอี้เพื่อดูคนงานขนถ่ายสินค้า
หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจเบาๆ เหลือบตามองท่านลุงใหญ่ที่หลับสนิทเพราะฤทธิ์ยา แม้มีบ่าวไพร่คอยรับใช้แต่ก็เหมือนอยู่คนเดียว ไม่มีภรรยาหรือบุตรอยู่เคียงข้าง ยามเจ็บป่วยอยู่ไกลบ้านเช่นนี้ช่างโดดเดี่ยวยิ่งนัก
“ออกไปคุยกันข้างนอกเถิด พี่หวังหมิ่น รบกวนดูท่านลุงใหญ่แทนข้าด้วย”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
พ่อบ้านหานตงเดินออกมาพร้อมกับหลินอวี้เจิน หญิงสาวเดินมาถึงห้องทำงานของท่านลุงใหญ่ พ่อบ้านรอจนเด็กรับใช้นำน้ำชาเข้ามาแล้วออกไปแล้วจึงเอ่ยกับหญิงสาว
“ดีจริงที่ครั้งนี้มีคุณหนูอยู่ที่นี่”
“ท่านลุงใหญ่เคยล้มป่วยมาเช่นนี้มาก่อนหรือไม่” นางถามเพราะปกติท่านลุงใหญ่ไม่ค่อยได้กลับไปจู้หยาง แต่ทุกครั้งที่พบหน้าก็ไม่เคยเห็นแววอ่อนล้าเช่นนี้ แม้ท่านหมอจะแจ้งว่าล้มป่วยครั้งนี้เพราะโหมงานหนักจนร่างกายรับไม่ไหว แต่หลินอวี้เจินอดกังวลไม่ได้ว่าจะมีโรคแทรกซ้อน คนไม่เคยล้มป่วย เมื่อเจ็บป่วยครั้งหนึ่งมันทรุดลงหนักและรักษาหลายวัน นางจึงสั่งให้คนเชิญหมอมาตรวจอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ
“ไม่มีขอรับ อาจมีอ่อนเพลียบ้างแต่ไม่เคยถึงกับล้มป่วยเช่นนี้” พ่อบ้านหานตงก็กังวลใจไม่แพ้กัน
“ดีแล้วที่พ่อบ้านกลับมาพอดี ข้าคนเดียวเกรงจะดูแลกิจการแทนท่านลุงใหญ่ไม่ไหว”
นางได้แต่โคลงศีรษะไปมา หากไม่ได้มานั่งดีดลูกคิดทำบัญชีซื้อขายด้วยตนเอง นางคงไม่รู้ว่าท่านลุงมีเงินมากเพียงใด มิน่าเล่าท่านลุงรองถึงพยายามให้ท่านลุงใหญ่แต่งงานใหม่กับญาติทางฝั่งภรรยาของท่านลุงรอง ซ้ำยังเพียรส่งหญิงสาวมาปรนนิบัติรับใช้ แต่ท่านลุงใหญ่ปฏิเสธไปเสียหมดสิ้น แท้จริงกิจการของลุงรองนั้นเป็นของท่านลุงใหญ่ทั้งหมด ท่านลุงรองเพียงแค่ดูแลคุมสาขาทางจู้หยางเท่านั้น
มีทรัพย์มากหากแต่ไม่รู้จักทำให้งอกเงย สักวันย่อมหมดไป
หลินอวี้เจินตระหนักถึงข้อนี้แล้วก็ถอนหายใจอีกครั้งครา
“ขอถามพ่อบ้านหานตงสักเรื่องเถิด” นางตัดสินใจเอ่ยปากออกไป “ท่านลุงมีใครในใจหรือไม่”
“คุณหนูถามเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรขอรับ” พ่อบ้านหานตงออกจะประหลาดใจกับคำถามนี้นัก
“โดยส่วนใหญ่ บุรุษจะสร้างเนื้อสร้างตัวก็เพื่อครอบครัวหรือคนรัก แต่หลังจากภรรยาของท่านลุงใหญ่ตายจากก็สิบกว่าปีแล้ว ไม่เห็นวี่แววจะแต่งงานใหม่ แต่ท่านลุงใหญ่กลับทุ่มเทแรงกายและใจให้กับการสร้างกิจการของตน ซ้ำยังแทบไม่กลับบ้านที่จู้หยาง ปล่อยท่านลุงรองเก็บเกี่ยวผลประโยชน์แทบหมดสิ้น ข้าอดคิดไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วท่านลุงใหญ่อาจมีใครในใจที่ไม่อาจเอื้อมอยู่ที่ตันหยางนี้ก็เป็นได้”
“เรื่องนั้น...บ่าวเองก็ไม่แน่ใจนัก” เอ่ยจบตามด้วยเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วล้วงมือไปหยิบกุญแจวางลงบนโต๊ะหน้าหญิงสาว “นี่เป็นกุญแจห้องคลังของนายท่าน ระหว่างที่นายท่านพักรักษาตัว คุณหนูรับไปดูแลเถิดขอรับ”
“พ่อบ้านหานตง!” หลินอวี้เจินส่ายหน้าไปมา “ข้ามิได้ไม่เชื่อใจพ่อบ้าน เพียงแค่สงสัยจึงสอบถามเท่านั้น”
“บ่าวเพียงแค่...” พ่อบ้านหยุดไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อ “...ถ้าคุณหนูเข้าไปดูในห้องคลังของนายท่าน อาจจะพบคำตอบก็ได้ขอรับ”
“เช่นนั้น” นางเม้มริมฝีปากครุ่นคิด “ข้าขอรับกุญแจนี้ไว้จนกว่าท่านลุงใหญ่จะแข็งแรงดีก็แล้วกัน”
“ขอรับคุณหนู”
หญิงสาวมองจนพ่อบ้านออกไปพ้นสายตาแล้ว นางจึงหยิบกุญแจขึ้นมาพลิกดูไปมา หลินอวี้เจินไม่ได้บอกผู้ใดเรื่องที่เกิดขึ้นกับนางในตรอกเล็กๆ นั่น เพราะหลังจากกลับมาก็พบว่าท่านลุงใหญ่ล้มป่วย นางไม่ต้องการสร้างความกังวลให้ผู้อื่น นางมาเมืองตันหยางเป็นแรกแทบไม่รู้จักผู้ใดเลย อาจเป็นการเข้าใจผิดก็เป็นได้
ท่าทางคุกคามของชายผู้นั้นทำให้ร่างบอบบางสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ พยายามข่มความหวาดกลัวที่คุกคามจิตใจ นางต้องหาสิ่งอื่นทำเพื่อหยุดความคิดของตนเอง
หลินอวี้เจินยื่นมือไปกำกุญแจแล้วลุกขึ้นยืน นางเดินอย่างไม่เร่งร้อนไปที่ห้องคลังของท่านลุงใหญ่ เสียงไขกุญแจดังขึ้นก่อนที่นางจะผลักบานประตูหนาหนักเข้าไป นางกวาดตามองไปรอบๆ หญิงสาวไม่คิดว่าท่านลุงใหญ่ที่โผงผางจะชอบสะสมแจกันหยกหรือเครื่องประดับนัก
แต่นางจำได้ว่าหลายปีก่อนนั้น หลังจากท่านลุงใหญ่รู้ว่านางชอบวาดภาพ เมื่อใดที่เดินทางไปต่างถิ่นมักซื้อสมุดภาพหรือภาพวาดมาฝากนางเสมอ หลายครั้งที่เป็นสมุดภาพแปลกตา ท่านลุงใหญ่เล่าว่าขอแลกเปลี่ยนกับคนในคาราวานค้าขายที่เดินทางมาจากดินแดนต่างๆ เช่นฝอหลิน,ปอซือ ท่านลุงใหญ่ไม่รู้เรื่องงานศิลปะนัก จะว่าไปการที่ลูกหลานชาวนาพยายามอย่างสุดความสามารถ จนเป็นพ่อค้าที่มีทรัพย์สมบัติได้อย่างนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย บิดาของนางแม้ไม่ค่อยพูดถึงท่านลุงใหญ่นัก แต่ก็เปรยกับนางอยู่เสมอว่าท่านลุงใหญ่ใหญ่เป็นคนมุมานะและอดทน ครอบครัวของเราเป็นหนี้บุญคุณท่านลุงใหญ่
